The Blog

วันนี้ (30 พฤษภาคม 2561) เวลา 15.00 น. นาย Zhao Tao ประธานสมาคมการค้า Air Business College พร้อมคณะนักธุรกิจจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนไทย ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ สรุปสาระสำคัญการหารือ ดังนี้

นายกรัฐมนตรียินดีที่ทราบว่า ประธานสมาคมการค้า Air Business College และคณะนักธุรกิจชาวจีนเดินทางมาเยือนไทยในครั้งนี้ เพื่อศึกษาลู่ทางการลงทุนในไทย ความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย – จีน ที่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย ทั้งในด้านการนำเข้าและการส่งออก ขณะนี้ รัฐบาลมีนโยบายและโครงการสำคัญที่จีนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ เช่น Thailand 4.0 ประเทศไทย +1 และโครงการ EEC ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากรัฐบาลด้วย รวมทั้งยังจะเป็นการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์สำคัญ โดยเฉพาะ ยุทธศาสตร์ Connectivity ของไทย กับยุทธศาสตร์ Belt One Road Initiative ของจีน เชื่อมั่นว่า จะมีส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจของสองประเทศให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นได้

โอกาสนี้ ประธานสมาคมการค้า Air Business College กล่าวแสดงความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในโครงการเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยา อสังหาริมทรัพย์ การศึกษา การเงิน วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจีนก็ได้มีการตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษมากว่า 40 ปีเช่นกัน จึงพร้อมที่จะนำความรู้และประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ มาแลกเปลี่ยนกัน เพื่อพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะสอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 ของไทย นอกจากนี้ ประธานสมาคมการค้า Air Business College ยังชื่นชมกระบวนการทำงานของไทยในการขับเคลื่อนประเทศ และเชื่อมั่นว่าไทยเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การลงทุนที่ดีและมีศักยภาพ และสามารถรองรับการลงทุนจากต่างประเทศในระยะยาว

ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยแลกเปลี่ยนถึงทิศทางเศรษฐกิจไทย – จีน โดยทั้งรัฐบาลไทยและจีน ต่างมุ่งมั่นส่งเสริมการลงทุนบนหลักการแข่งขันที่เป็นธรรมและมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยใช้ฐานเศรษฐกิจดิจิทัลและการพัฒนานวัตกรรมเป็นหลัก ซึ่งไทยมีโอกาสเรียนรู้จากความก้าวหน้าในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูงของจีน ทั้งนี้ ไทยและจีนจะร่วมมือกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่นี้ต่อไปในอนาคตด้วยกัน ภายใต้การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและการดูแลประชาชนในพื้นที่เป็นสำคัญ

Eastern Economic Corridor (EEC) หรือระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ต่อยอดความสำเร็จแผนพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ Eastern Seaboard ที่ผลักดันประเทศให้มีการพัฒนาด้วยการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 8% ต่อปี เป็นเวลากว่า 30 ปี ทำให้ในปัจจุบันมีความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคเป็นต้นทุนเดิม สร้างการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการกว่า 100,00 อัตราต่อปี

นโยบาย EEC นั้นมีความต้องการที่จะพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจและยกระดับทรัพยากรมนุษย์ โดยการดึงดูดนักลงทุนจากภายในประเทศและนักลงทุนข้ามชาติ ภายใต้การส่งเสริมพื้นที่เป้าหมาย 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เตรียมความพร้อมสำหรับสำหรับการลงทุนอุตสาหกรรม Super Cluster และอุตสาหกรรมเป้าหมายในฐานะพื้นที่อุตสาหกรรมระดับโลก

โอกาสที่เปิดกว้างสำหรับอุตสาหกรรมในอนาคต

ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านและติดพื้นที่ทางทะเลทำให้มีความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังมีกำลังซื้อสูงจาก ASEAN จีนและอินเดีย ทำให้พื้นที่ EEC เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมแก่การลงทุนอย่างยิ่ง

ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานเดิมสามารถมีนโยบายในการยกระดับความสามารถเพิ่มขึ้น เช่น การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา กำหนดเขตส่งเสริมนวัตกรรม EEC บริเวณวังจันทร์วัลเล่ย์ สร้างเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) ตั้งนิคมอุตสาหกรรม Smart Park รวมถึงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและโครงข่ายรถไฟ ในขณะที่เป็นฐานอุตสาหกรรมด้านพลังงานซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญ ศักยภาพเหล่านี้จะเป็นตัวผลักดันความสำเร็จในการแข่งขันระดับนานาชาติอย่างครบวงจร

นอกเหนือจากนโยบายเตรียมความพร้อมด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานแล้วนโยบายส่งเสริมการลงทุนเบื้องต้นดังนี้

  • ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลนานสูงสุด 15 ปี
  • ยกเว้นอากรขาเข้า เครื่องจักร วัตถุดิบ ที่นำเข้ามาผลิตเพื่อส่งออกและของที่นำเข้ามาเพื่อ R&D
  • เงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการลงทุน การวิจัยและพัฒนาส่งเสริมนวัตกรรมหรือการพัฒนาบุคลากรเฉพาะด้านของกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
  • อนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริม
  • สิทธิ์การเช่าที่ดินราชพัสดุ 50 ปี สามารถพิจารณาต่ออายุได้อีก 49 ปี
  • อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 17% ผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัยที่มีคุณสมบัติตรงตามกำหนดที่ตรงกับความต้องการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
  • ระบบ One-Stop Service สำหรับอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนภายในจุดเดียว
  • วีซ่าการทำงาน 5 ปี ดึงดูดนักลงทุน ผู้เชี่ยวชาญและนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก

มาตรการส่งเสริมการลงทุนของ EEC มีการคาดการณ์ว่าสามารถดึงดูดการลงทุนได้มากกว่า 1.9 ล้านล้านบาทจากภาคเอกชน (SCB Economic Intelligence Center) โดยนโยบายที่เกิดขึ้นสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น ซึ่งนโยบายและแนวทางของ EEC สอดคล้องไปกับเทรนด์โลกที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี สร้างโอกาสและการเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจของโลก

กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย

10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากนโยบายอย่างเป็นทางการ แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมเดิม (First S-Curve) และกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ (New S-curve) มีรายละเอียดดังนี้

กลุ่มอุตสาหกรรมเดิม ถือเป็นกลุ่มที่ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญเป็นและมีศักยภาพในการผลิต โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมจะได้รับการสนับสนุนในการพัฒนาเพื่อให้สอดรับกับแนวนโยบายใหม่พร้อมการสนับสนุนด้านการพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมต่างๆ โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมดังนี้

  • ยานยนต์สมัยใหม่
  • อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ
  • การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
  • อาหารแห่งอนาคต
  • อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ

กลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ นับเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นจากเทรนด์ความต้องการของตลาดโลก รัฐบาลกำหนดขึ้นเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยพร้อมกับเทคโนโลยีและความต้องการยุคใหม่ มีกลุ่มอุตสาหกรรมดังนี้

  • เครื่องจักรอัตโนมัติและหุ่นยนต์
  • การบินและโลจิสติกส์
  • เคมีชีวภาพและปิโตรเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ดิจิทัล
  • การแพทย์ครบวงจร

เพราะ EEC ไม่ได้ส่งผลดีแค่ภาคการผลิต

ผลกระทบของ EEC นอกเหนือจากการยกระดับการแข่งขันทางเศรษฐกิจและศักยภาพของอุตสาหกรรมแล้ว ยังส่งผลกระทบเกี่ยวกับการจ้างงานและอาชีพของผู้คนในพื้นที่ใกล้เคียงจากการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้นกว่า 1 แสนอัตรา นอกจากนี้การลงทุนด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูง ส่งผลถึงการดำรงชีวิตของผู้คนที่เกี่ยวข้องนอกเหนือจากภาคอุตสาหกรรมในวงกว้าง สร้างความเจริญในพื้นที่อย่างครบวงจร นำทางสู่ความเป็นไปได้ทางธุรกิจอันหลากหลายและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากการดึงดูดการลงทุนในพื้นที่

นอกจากนี้ความพร้อมของพื้นที่ EEC นั้นยังเหมาะสมให้เกิดธุรกิจ Start-Up หรือกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลในรูปแบบของธุรกิจสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี ทำให้ภาคธุรกิจสามารถเติบโตได้ทัดเทียมกับต่างประเทศเช่นกัน

EEC วันนี้เพื่อความเป็นหนึ่งในวันข้างหน้า

จากความเชื่อมั่นของภาคเอกชนที่มีต่อนโยบายภาครัฐ EEC กลายเป็นเหมืองทองที่น่าลงทุนสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ ด้วยความพร้อมซึ่งเป็นทุนเดิมจาก Eastern Seaboard มาถึงการต่อยอด EEC ทำให้เกิดการขยายตัวขึ้นแล้วในภาคส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต เช่น การขยายสายการประกอบยานยนต์ไฟฟ้าของ BMW

ในส่วนของนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐและ BOI นั้นมีการสนับสนุนแยกตามประเภทกิจการและสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการรวม นอกจากนี้ยังมีสิทธิพิเศษด้านภาษีสำหรับพื้นที่ในเขต EEC ที่สามารถสร้างโอกาสในการซื้อตัวบุคคลากรที่มีความสามารถเข้ามาทำงานในพื้นที่ การลงทุนระบบอัตโนมัติรวมถึงเทคโนโลยีและงานวิจัย ทำให้ EEC กลายเป็นห้างสรรพสินค้าสุดหรูที่เต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์อันเป็นที่ต้องการ สร้างภาพลักษณ์และการจดจำในฐานะขุมทองอุตสาหกรรมแห่ง ASEAN

相關圖片

2 Comments

  1. Best SEO Service - มกราคม 27, 2020 Reply

    Awesome post! Keep up the great work! 🙂

  2. AffiliateLabz - กุมภาพันธ์ 16, 2020 Reply

    Great content! Super high-quality! Keep it up! 🙂

Leave a Comment

Your email address will not be published.

Compare Properties

Compare (0)